Health » นอนกรน “เสี่ยงวูบ–โรคร้าย–อุบัติเหตุ”

นอนกรน “เสี่ยงวูบ–โรคร้าย–อุบัติเหตุ”

14 มีนาคม 2020
0

Newscurveonline.com : “การนอนหลับ” เป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลสุขภาพที่หลาย ๆ คนมักจะมองข้ามไป เพราะในความเป็นจริงมนุษย์เราใช้เวลานอนถึง 1 ใน 3 ของชีวิต และการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่ใช่แค่เพียง 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่ยังจำเป็นต้องนอนหลับอย่างมีคุณภาพด้วย

สมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เมดิคอลอินเทนซีฟแคร์ จำกัด จึงเปิดตัวโครงการ “นอนไม่กรน ขับไม่ชน รถไม่คว่ำ” เนื่องใน “วันนอนหลับโลก 2020” (World Sleep Day2020) ซึ่งตรงกับวันที่ 13 มีนาคม 2563 เพื่อรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการนอนหลับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับและสัญญาณอันตรายจากการกรน รวมถึงกระตุ้นให้ประชาชนใส่ใจเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคอย่างเหมาะสม

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอรุณวรรณ พฤทธิพันธุ์ นายกสมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย และหัวหน้าศูนย์โรคการนอนหลับ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า สมาคมฯ มีความประสงค์ที่จะให้ความรู้ประชาชนคนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการนอนหลับที่มีคุณภาพ อันตรายจากการนอนกรนและโรคหยุดหายใจขณะหลับ เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเหมาะสม โดยเห็นว่า บริษัท ฟิลิปส์ฯ และบนิษัท เมดิคอลอินเทนซีฟแคร์ฯ มีวัตถุประสงค์เดียวกัน จึงเกิดเป็นความร่วมมือในครั้งนี้ ริเริ่มโครงการ “นอนไม่กรน ขับไม่ชน รถไม่คว่ำ” โดยการสนับสนุนจาก 5 โรงพยาบาล ได้แก่ 1) ศูนย์นิทราเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย 2) ศูนย์โรคการนอนหลับ โรงพยาบาลรามาธิบดี 3) ศูนย์นิทรรักษ์ ศิริราช โรงพยาบาลศิริราช 4) ศูนย์โรคการนอนหลับ สถาบันโรคทรวงอก และ 5) ศูนย์สหเวชศาสตร์การนอนหลับ สุรศักดิ์มนตรี โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ภายใต้แนวคิด “นอนหลับสนิท ชีวิตสุขสันต์ โลกพลันสดใส” ซึ่งเป็นคำขวัญของวันนอนหลับโลกประเทศไทย เพราะการนอนหลับที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในหลายด้านทั้งความจำ ความคิดสร้างสรรค์ การจัดการความเครียด ภูมิต้านทาน และการทำงานของระบบอวัยะต่าง ๆ ภายในร่างกาย แต่ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันพฤติกรรมการใช้ชีวิต การทำงาน และสภาพแวดล้อม ส่งผลให้ผู้คนให้ความสำคัญกับการนอนน้อยลง ซึ่งหากผู้คนนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็ย่อมเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้มากขึ้น รวมถึงส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ อ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิในการทำงาน และยิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ตัวเลขอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วง 7 วันอันตรายในปี 2562 มีการเกิดอุบัติเหตุกว่า 3,338 ครั้ง และคาดว่าอาจมีสาเหตุจากการขับรถหลับในได้สูงถึงร้อยละ20 ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอและไม่มีคุณภาพนั่นเอง

ด้าน แพทย์หญิงนวรัตน์ อภิรักษ์กิตติกุล อาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทย โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้เข้ามาปรึกษาเกี่ยวกับอาการนอนกรนเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มาด้วยความคิดว่าเป็นสิ่งที่รบกวนคนที่นอนด้วยมากกว่าคิดว่าเป็นโรค แต่ในความเป็นจริงต้องบอกว่า อาการกรนนั้นเป็นสัญญาณเตือนของ “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น” (Obstructive Sleep Apnea: OSA) โดยสาเหตุของการกรนเกิดได้จากระบบทางเดินหายใจส่วนบนอุดตัน ต่อมทอมซิลโต โคนลิ้นใหญ่ เยื่อหูและจมูกบวม ลิ้นไก่ยาว ช่องคอหย่อน หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากและอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่เข้ารับการรักษาก็จะทำให้เกิดการหยุดหายใจขณะหลับได้ และส่งผลให้ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำลงและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้คุณภาพการนอนลดลง เกิดเป็นผลเสียต่อร่างกายเพิ่มขึ้นระยะยาว ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะสมองเสื่อม อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สมาธิสั้น หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมถึงความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากหลับใน โดยเฉลี่ยแล้วอาการกรนจะเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเพราะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์จะมีฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการหายใจมากกว่าผู้ชาย

(จากซ้ายไปขวา) แพทย์หญิงนวรัตน์ อภิรักษ์กิตติกุล, นายแพทย์สมประสงค์ เหลี่ยมสมบัติ และศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอรุณวรรณ พฤทธิพันธุ์

นายแพทย์สมประสงค์ เหลี่ยมสมบัติ อาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาล รามาธิบดี กล่าวเสริมว่า จากการศึกษาที่มีในประเทศไทยพบว่า ในประชากรผู้ใหญ่วัยทำงานพบความชุกผู้ป่วยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น เพศชายอยู่ที่ 15.4% และผู้หญิง 6.3% ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาพบประชากรผู้ใหญ่ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป มีผู้ป่วยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นสูงถึง 1 ใน 3 คน โดยยิ่งอายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคอ้วน สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ กินยานอนหลับบางชนิด รวมถึงฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทย ยังเป็นตัวกระตุ้นให้อัตราการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นเพิ่มสูงขึ้นด้วย เนื่องจากเมื่อระบบทางเดินหายใจส่วนต้น เช่น เยื่อบุจมูกเกิดการระคายเคือง มีการบวมคัด จะส่งผลให้เกิดทางเดินหายใจอุดกั้นขณะหลับง่ายขึ้น นอกจากนี้ ฝุ่น PM 2.5 อาจทำให้ระบบหายใจส่วนล่างและถุงลมปอดเกิดความระคายเคือง เกิดอาการไอ หลอดลมอักเสบ โรคหืดกำเริบ ได้อีกด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้คุณภาพการนอนหลับลดลง

ในแง่ของการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นนั้น นอกจากการลดพฤติกรรมเสี่ยงแล้ว แพทย์อาจจะให้การรักษาโดยการใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวกชนิดต่อเนื่อง (Continuous Positive Airway Pressure: CPAP), การใส่ทันตอุปกรณ์(Oral Appliance) หรือการผ่าตัด ในการรักษา ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะอาการและความรุนแรงของโรคของผู้ป่วยแต่ละบุคคล

ด้าน นายวิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของ “ฟิลิปส์” ที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน เราจึงเดินหน้าในการทำกิจกรรมเกี่ยวกับการให้ความรู้ประชาชนในการดูแลสุขภาพควบคู่กับการนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันด้านเฮลท์แคร์อย่างต่อเนื่อง และด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการนอนหลับที่สำคัญพอ ๆ กับเรื่องโภชนาการและการออกกำลังกาย ซึ่งจากผลการสำรวจด้านการนอนประจำปีของ “ฟิลิปส์โกลบอล” เรื่อง “Wake Up Call Global Sleep Satisfaction Trends” พบว่าประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกมีค่าเฉลี่ยการนอนต่อคืนเพียง 7 ชั่วโมง และกว่า 47% เปิดเผยว่าไม่พึงพอใจในการนอนของตน โดย 8 ใน 10 ของประชากรวัยผู้ใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประสบภาวะสะดุ้งตื่นกลางดึกอย่างน้อย 1 ครั้ง และผลสำรวจกว่าครึ่งยอมรับว่าแม้จะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องปัจจัยที่ดีที่ช่วยส่งเสริมการนอนหลับ แต่ความเครียดยังคงเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอน รองลงมาคือสภาพแวดล้อมในห้องนอน เสียง แสง อุณหภูมิ การใช้โมรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตก่อนนอน และโรคประจำตัว

เครื่อง CPAP DreamStation

บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด และพันธมิตรคู่ค้าคือ บริษัท เมดิคอลอินเทนซีฟแคร์ จำกัด จึงได้ร่วมสนับสนุนการทำงานของสมาคมโรคจากการนอนหลับแห่งประเทศไทย ภายใต้โครงการ “นอนไม่กรน ขับไม่ชน รถไม่คว่ำ” เพื่อร่วมรณรงค์และส่งเสริมการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการนอนหลับที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมทั้งให้ความใส่ใจต่อการเข้ารับการตรวจหาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น เพราะเป็นภัยเงียบที่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอนวัตกรรมที่ช่วยให้การตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คนในระยะยาว

สำหรับการเช็คอาการเบื้องต้นของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ให้สังเกตว่าตนเองมีการสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับอาการหายใจเฮือกหรือไม่ หรือยังมีอาการง่วงอยู่ในช่วงกลางวันแม้จะนอนหลับอย่างเพียงพอ แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองมีความเสี่ยงหรือไม่ สามารถทดสอบด้วยตัวเองได้ที่ https://www.cpapmic.com/sleeptest/