Newscurveonline.com : สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโรค COVID-19 กระตุ้นให้สังคมไทยตื่นตัวในการเรียนรู้และปรับพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้ได้เห็นข้อดีและเกิดการพัฒนาอย่างเป็นรูปแบบใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านสุขอนามัย (Hygiene) 2) ด้านการสุขาภิบาล (Sanitation) และ 3) ด้านสังคม (Social) โดย นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งเอเชีย แนะนำให้คนไทยควรใช้วิกฤติครั้งนี้ให้เป็นโอกาส ทำบ้านเมืองให้สะอาด ปราศจากมลพิษและปลอดภัยจากเชื้อโรคต่าง ๆ ให้เร็วที่สุด
นายแพทย์ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งเอเชีย อดีตนายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่ประเทศไทยประสบปัญหามลภาวะทางอากาศ ทั้งควันพิษ และฝุ่นละออง PM2.5 จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของคนไทย ทำให้ต้องมีการณรงค์สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือฆ่าเชื้อ ซึ่งนับเป็นการรณรงค์ด้านสุขอนามัย (Hygiene) พื้นฐานสำหรับคนไทย จนเมื่อเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอุบัติใหม่ หรือ COVID-19 ทำให้คนไทยตื่นตัวและให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขอนามัย (Hygiene) อย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีประการแรก เพราะสุขอนามัยเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีและปัจจุบันยังถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย
สำหรับหลักการดูแลสุขอนามัย เพื่อป้องกัน COVID-19 นายแพทย์ชลธิศ แนะนำดังนี้
– สวมใส่หน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ข้างนอกและในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน
– ล้างมือด้วยน้ำเปล่าและสบู่ หรือเจลล้างมือบ่อย ๆ อย่างน้อย 20 วินาที
– หลีกเลี่ยงการใช้มือหยิบจับโลหะ ราวบันได ปุ่มลิฟท์ และลูกปิดประตูต่าง ๆ
– ธนบัตรและเหรียญต่าง ๆ เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคเช่นกัน หลังหยิบจับควรล้างมือทุกครั้งและทำความสะอาดธนบัตร เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ หรือตากแดด ส่วนเหรียญควรนำไปต้ม เป็นต้น
– รับประทานอาหารที่ทำใหม่ร้อน ๆ หลีกเลี่ยงการใช้มือ และควรล้างมือก่อนรับประทานทุกครั้ง
– เข้าห้องน้ำ เช็ดทำสะอาดก่อน-หลังนั่งทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการใช้มือปิด-เปิดประตูและกลอน
– หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีการชุมนุม ถ้าจำเป็นควรทำ Social Distancing เว้นระยะห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร
ข้อดีประการที่สอง ตื่นตัวด้านการสุขาภิบาล (Sanitation) จะเห็นได้ว่าหลังจากการแพร่ระบาด COVID-19 มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและทหารออกมาร่วมกันทำความสะอาดถนนหนทาง สวนสาธารณะ ตลาด และฉีดฆ่าเชื้อโรคตามสถานที่ชุมชนต่าง ๆ เพราะอาจเป็นจุดที่มีสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อติดอยู่ ทำให้เกิดแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ สำหรับการสุขาภิบาล หรือ Sanitation หมายถึง การบำรุงรักษาของสภาพทางสุขอนามัย ผ่านการบริการต่าง ๆ เช่น การเก็บขยะ การกำจัดน้ำเสีย ทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่ง องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ระบุว่า การสุขาภิบาลที่ไม่เพียงพอเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคทั่วโลกและการปรับปรุงการสุขาภิบาลเป็นที่รู้จักกันว่าจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งในครัวเรือนและในทั้งชุมชน
นายแพทย์ชลธิศ ยังแนะนำอีกด้วยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรรณรงค์ให้ความรู้กับสถานบริการ สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ตลาดสด โรงแรมและแหล่งให้บริการที่พักต่าง ๆ ในการดูแลรักษาความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคอย่างถูกต้องและได้มาตรฐานเพื่อเร่งกำจัดเชื้อโรคโดยเฉพาะไวรัส COVID-19 ให้เร็วที่สุดและทำอย่างต่อเนื่องด้วย
ประการสุดท้าย ข้อดีด้านสังคม (Social) จากสถานการณ์ COVID-19 แม้จะมีผลกระทบกับสังคมไทยทั้งการดำเนินชีวิต การทำมาหากินและความเป็นอยู่แล้ว ก็ยังมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นมากมาย ได้แก่
– ครอบครัวมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น จากมาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” และ Work From Home
– เกิดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปันหน้ากากอนามัยกัน ร่วมกันบริจาคเงินซื้อหน้ากากอนามัยให้บุคลากรการแพทย์ จนเกิดแฮชแท็กซึ้ง ๆมากมาย เช่น #คนไทยไม่ทิ้งกัน #ร่วมใจสู้ COVID19 เป็นต้น
– เกิดการสร้างสรรค์และนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น ผลิตหน้ากากอนามัยใช้เอง / แจก แอปฯ / โปรแกรมใช้งานออนไลน์ช่วยกลุ่ม WFM เป็นต้น
– มีเวลาทบทวนตัวเอง ใช้สติ ศึกษาธรรมะ เพื่อต่อสู้กับความกลัวและนำพาตัวเองและประเทศให้ก้าวผ่านสถานการณ์ช่วงนี้ไปให้เร็วที่สุด
นอกจากข้อดีจากสถานการณ์ COVID-19 ทั้งสามประการแล้ว ในแง่การบริหารของรัฐบาลเพื่อหยุดปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสครั้งนี้ก็ยังเห็นการบูรณาการทำงานร่วมกันจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะแพทย์ และบุคลากรแพทย์ต่าง ๆ ออกมาเป็น “นักรบแนวหน้า” ที่ต่อสู้กับ COVID-19 อย่างน่ายกย่อง รวมทั้งทหาร ตำรวจ ตลอดจน อสม.ที่ออกมาช่วยกันปราบเชื้อโรคครั้งนี้
สุดท้าย นายแพทย์ชลธิศ ยังขอฝากให้คนไทยทุกคน ดูแลสุขอนามัยของตัวเองอย่างเคร่งครัดต่อไป เพื่อป้องกันโรคภัยต่าง ๆ และมีสุขภาพที่ดี รวมทั้งอยากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสุขาภิบาลของประเทศ ร่วมกันใช้วิกฤติครั้งนี้ให้เป็นโอกาส ในการเริ่มต้นจัดการทำบ้านเมืองให้สะอาดตา ปราศจากมลพิษ และปลอดภัยจากเชื้อโรคต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว และเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้เร็วที่สุด แม้ประเทศไทยจะมีเสน่ห์มากมายทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกินที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ แต่ถ้าบ้านเมืองสะอาดตา ถนนหนทางสะอาด ปราศจากขยะ สิ่งสกปรกก็ยิ่งทำให้น่าเที่ยวและเกิดความประทับใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย.