Health » ศักยภาพประเทศไทยติดลำดับรับมือ “โรคมะเร็ง”

ศักยภาพประเทศไทยติดลำดับรับมือ “โรคมะเร็ง”

10 กรกฎาคม 2020
0

Newscurveonline.com : จากรายงานเรื่อง “ความพร้อมเพื่อรับมือกับโรคมะเร็ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก : การขับเคลื่อนสู่มาตรการควบคุมโรคมะเร็งฉบับสากล” หรือ “Cancer Preparedness In Asia Pacific : Progress Towards Universal Cancer Controlจัดทำโดย The Economist Intelligence Unit ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยบริษัท โรช จำกัด ได้เผยผลวิเคราะห์ความพร้อมในด้านต่าง ๆ ของ 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในการรับมือกับความท้าทายเพื่อดูแลประชาชนและรักษาผู้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งจะนำไปสู่การผลักดันให้มีมาตรการรองรับและควบคุมฉบับสากล

รายงานดังกล่าวได้วิเคราะห์ความพร้อมของ 10 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก คือ ประเทศไทย ออสเตรเลีย จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และเวียดนาม โดยเป็นการสำรวจ เก็บตัวอย่างและวิเคราะห์ผลโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งและระบบสาธารณสุขจากระดับภูมิภาค ซึ่งเจาะประเด็นใน 3 ด้านสำคัญคือ นโยบายและการวางแผน การให้บริการและรักษา และระบบสุขภาพและการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยผลการสำรวจเผยว่า ประเทศออสเตรเลียได้คะแนนรวมสูงสุด ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 6 จากทั้งหมด 10 อันดับ

ผลสำรวจยังระบุลำดับคะแนนที่น่าสนใจจากกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง (Upper-Middle Income) อย่างประเทศไทยและมาเลเซียที่ได้คะแนนด้านมาตรการในวางแผนรับมือกับโรคมะเร็งได้ดีมากจนอยู่ในอันดับต้น ๆ ของดัชนี อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพยังเป็นปัญหาสำคัญที่หลายประเทศต้องหาทางรับมือ

ดร.ศุลีพร แสงกระจ่าง รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยได้คะแนนสูงอยู่ในอันดับ 4 ของการเป็นประเทศที่มีนโยบายและแผนการเตรียมพร้อมรับมือกับโรคมะเร็งดีที่สุด เมื่อมองลึกลงไปถึงที่มาของคะแนน ไทยยังได้รับคะแนนสูงที่สุดจากการเป็นประเทศที่สามารถดำเนินการตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นอันดับ 1 ร่วมกับประเทศออสเตรเลีย เกาหลีใต้และญี่ปุ่น

ปัจจุบัน โรคมะเร็ง ยังคงเป็นสาเหตุหลักที่คร่าชีวิตของผู้คนจำนวนมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 ภูมิภาคนี้จะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นถึง 35% และมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มขึ้น 40% ถึงแม้ว่าจะมีนโยบายการรับมือและสถาบันวิจัยโรคมะเร็งเกิดขึ้นมากมาย แต่อัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นและการตรวจพบโรคมะเร็งเมื่อโรคมีการลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแล้ว ยังเป็นปัญหาสำคัญของเกือบทุกประเทศในภูมิภาค โดย 3 อันดับแรกของโรคมะเร็งที่พบผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประเทศไทย เมื่อปี 2561 คือ มะเร็งปอด ตามมาด้วย มะเร็งตับ และมะเร็งเต้านม

ผลสำรวจของประเทศไทย ประจำปี 2563

  • ด้านนโยบายและการวางแผน

ประเทศไทยมีแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติที่เข้มแข็ง ทั้งยังเป็นประเทศที่อยู่อันดับ 1 ด้านงานวิจัยเรื่องโรคมะเร็งจากการที่มีสถาบันมะเร็งแห่งชาติ มีการสร้างความตระหนักรู้เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพและลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในหลายพื้นที่ให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีขั้นตอนการติดตามและประเมินผลของการวางแผนที่มีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ประเทศไทยควรให้ความสำคัญมากขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือ การสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางและการจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการสร้างทะเบียนมะเร็งระดับประชากร ซึ่งครอบคลุมสถิติที่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับการวางแผนการคัดกรองและรักษาในระยะยาวต่อไป

  • ด้านการให้บริการและการรักษา

 “ประเทศไทยมียารักษาโรคมะเร็งส่วนมากถูกบรรจุเข้าไปในระบบ ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงยาและเบิกค่ายาตามสิทธิที่พึงมีได้ผ่านระบบสาธารณสุข” ดร. ศุลีพร กล่าวเสริม

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาการรักษาให้มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางมากขึ้น โดยปัจจุบันประเทศไทยมีคะแนนด้านนี้อยู่ในลำดับที่ 10 ร่วมกับ อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดยเน้นด้านการทำนโยบายที่ครอบคลุมถึงการติดตามผลระยะยาว การพักฟื้น และการทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับประสิทธิภาพให้แก่เครื่องมือทางรังสีวิทยา และเพิ่มจำนวนรังสีแพทย์ด้านมะเร็งวิทยา และบุคลากรสุขภาพด้านอื่น ๆ

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการเพิ่มเติมสำหรับการตรวจคัดกรองแต่เนิ่น ๆ ทำให้บางครั้งผู้ป่วยพบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งเมื่อโรคลุกลามไปมากแล้ว ซึ่งในรายงานได้แนะนำว่า ประเทศไทยควรมีการให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งเบื้องต้น เช่น การตรวจแมมโมแกรม และการตรวจหาเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ ตั้งแต่ในระดับสถานีอนามัย และสร้างความตระหนักด้านการคัดกรองและวิธีการรักษาให้ประชาชนในทั่วทุกพื้นที่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น

  • ด้านระบบสุขภาพและการสนับสนุนจากรัฐบาล

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยได้รับคำชม และเป็นแบบอย่างให้นานาประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในแง่ของการลดค่าใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ ลดอัตราการเสียชีวิตในเด็ก ทั้งยังเพิ่มขั้นตอนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสและการบำบัดทดแทนไต ทั้งยังลดอุปสรรคในการทำงานเนื่องจากอาการเจ็บป่วย

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง แต่กลับมีมาตรการการดูแลประชาชนได้อย่างทั่วถึง แม้มีทรัพยากรจำกัด และมีคุณภาพเทียบเท่ากับประเทศในกลุ่มที่มีรายได้สูง

นายฟาริด บิดโกลิ ผู้จัดการทั่วไปบริษัท โรช ไทยแลนด์ พม่า กัมพูชา และลาว กล่าวว่า สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญเพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมมากยิ่งขึ้นในการรับมือโรคมะเร็งคือ การสร้างระบบทะเบียนมะเร็งระดับประชากร การกำหนดงบประมาณและค่าใช้จ่ายเพื่อพัฒนาระบบสาธารณสุข เพื่อลดช่องว่างให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงความต้องการของผู้ป่วยเป็นสำคัญ โดยปัญหาที่ได้ถูกพูดถึงในรายงานนี้จำเป็นต้องอาศัยการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ ที่ส่งผลให้งบประมาณด้านสาธารณสุขและการบริการด้านการแพทย์มีค่อนข้างจำกัด”

“โรชมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับรัฐบาลไทย และหน่วยงานด้านสาธารณสุข ในการมุ่งพัฒนานโยบาย รวมไปถึงโครงการทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพและได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน” นายฟาริด กล่าวในตอนท้าย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงาน ความพร้อมเพื่อรับมือกับโรคมะเร็ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก : การขับเคลื่อนสู่มาตรการควบคุมโรคมะเร็งฉบับสากล ได้ที่ https://worldcancerinitiative.economist.com/cancer-preparedness-asia-pacific