New Issues » เทรนด์บ้านหลังที่สอง “พัทยา” มาแรง ดีมานด์เติบโตรับ “New Normal”

เทรนด์บ้านหลังที่สอง “พัทยา” มาแรง ดีมานด์เติบโตรับ “New Normal”

30 กรกฎาคม 2020
0

Newscurveonline.com : “โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้” เผยเทรนด์ ตลาดบ้านหลังที่ 2 หรือบ้านพักตากอากาศ เมืองพัทยาเติบโตสอดรับการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ “New Normal” คาดจะเป็นเทรนด์ที่เติบโตขึ้นในตลาดอสังหาฯ เผยทำเลยอดนิยมที่ผู้ซื้อสนใจยังคงเป็น “หาดวงศ์อมาตย์” และ “นาจอมเทียน” พร้อมเปิดตัวเลขห้องชุดขนาดมากกว่า 100 ตารางเมตรขึ้นไปเหลืออุปทานในตลาดเพียงแค่ 1% เท่านั้น ชูโครงการ “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา” เป็นโอกาสการลงทุนสร้างมูลค่าในระยะยาว

นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพครบวงจร เปิดเผยว่า แนวโน้มการมีบ้านหลังที่สอง หรือบ้านพักตากอากาศเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่เกิดน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 บวกกับมลพิษทางอากาศที่เพิ่มขึ้น ปัญหาฝุ่น PM2.5 และล่าสุดกับวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้คนเริ่มตระหนักถึงการมีทำเลสำรอง เพื่อย้ายไปอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่มีความแน่นอน ทำให้ความต้องการซื้อบ้านหลังที่สอง หรือบ้านพักตากอากาศในแหล่งพักผ่อนตากอากาศชั้นนำ เช่น พัทยา ยังคงเป็น Top Destination ของคนกรุงเทพฯ รวมถึงนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ บ้านหลังที่สองจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่หลายคนมองหา ไม่เพียงแค่ตัดสินใจซื้อเพื่อพักผ่อนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และการเป็นสินค้าเพื่อการลงทุนเท่านั้น แต่ยังมองถึงการเป็นสถานที่พักผ่อนที่มีความปลอดภัยมากกว่าในสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงของโลก ขณะเดียวกันยังมองเห็นดีมานด์ความต้องการบ้านหลังที่สองของชาวต่างชาติด้วย โดยเฉพาะชาวจีน ที่จะมองหาบ้านหลังที่สองในประเทศที่มีความปลอดภัย และมีระบบสาธารณสุขที่ดี ทั้งนี้ จากการรับมือที่ดีในสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมา ทำให้ทั่วโลกเล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของประเทศไทย

การมีบ้านหลังที่สองเป็นการปรับตัวอย่างหนึ่งเพื่อต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน และจะกลายเป็นเทรนด์ที่เติบโตขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยุคปัจจุบันที่เราต้องเจอกับความเสี่ยงที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากยอดขายในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาของ “โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้” ที่มียอดการซื้อขายโครงการ “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา” เพิ่มขึ้น ด้วยยอดขายสูงถึง 120 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มลูกค้าที่เข้ามาซื้อไม่ใช่เฉพาะกลุ่มนักธุรกิจที่มีเงินเย็นและมีรายได้สูง แต่ยังมีลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เข้ามาซื้อซึ่งเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่อายุน้อย รวมถึงลูกค้าชาวจีนที่สนใจโครงการฯ เพิ่มมากขึ้น

นายณพงศ์ กล่าวอีกว่า เมืองพัทยานับเป็นทำเลที่โดดเด่นที่สุดในช่วง 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2559-2561 โดยมีอัตราการขายสูง กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มนักธุรกิจ เศรษฐีชาวไทยและชาวต่างชาติ ผู้ที่มีชื่อเสียงในแวดวงต่าง ๆ ที่ต้องการบ้านพักตากอากาศ สำหรับพักผ่อนและซื้อเพื่อการลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ เอื้ออำนวย เช่น การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน การเดินทางที่สะดวกมากขึ้น ประกอบกับแรงหนุนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่มีความคืบหน้าและชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ และการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่รัฐบาลผลักดันอย่างเต็มที่ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเมกะโปรเจกต์ต่าง ๆ ที่ภาคเอกชนเข้าไปลงทุนอีกหลายโครงการ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญที่จะส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยาจะกลับมาได้รับความนิยมของกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซื้อลงทุนสำหรับเป็นบ้านพักตากอากาศ หรือเป็นบ้านหลังที่สองเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งในอนาคต

ทั้งนี้ ข้อมูลจากฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่พัทยาเพียงแค่ 1 โครงการ จำนวน 319 ยูนิตเท่านั้น เพราะภาพรวมของตลาดคอนโดฯ ในพัทยายังคงมีอุปทานที่ก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนหน้านี้เหลือขายอยู่ในตลาดพอสมควร บวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19

“ทำเลที่ยังเป็นที่นิยมของกลุ่มผู้ซื้อคอนโดฯ ตากอากาศในพื้นที่พัทยา คือ พื้นที่วงศ์อมาตย์ เนื่องจากเป็นทำเลที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีชายหาดที่ค่อนข้างสวยงาม ส่งผลให้ทำเลย่านดังกล่าวมีอัตราการขายสูงที่สุด และหน่วยเหลือขายเพียงแค่ไม่ถึง 600 ยูนิตเท่านั้น รองลงมาคือ พื้นที่ใจกลางเมืองพัทยา เนื่องจากตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของการอยู่อาศัย และผลตอบแทนจากการลงทุนที่ค่อนข้างคุ้มค่า อีกทำเลคือย่านนาจอมเทียน เนื่องจากยังคงความเงียบสงบไม่วุ่นวายเหมือนใจกลางเมืองพัทยา บวบกับแวดล้อมด้วยร้านอาหารชื่อดัง สวนน้ำ รวมถึงแนวเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่งผลให้ทำเลย่านนาจอมเทียนเป็นอีกทำเลที่ได้รับความสนใจทั้งจากกลุ่มผู้ซื้อ เพื่อการอยู่อาศัยและกลุ่มนักลงทุนค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา”

นายณพงศ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับขนาดของคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่พัทยาทั้งหมดพบว่า ห้องชุดขนาดต่ำกว่า 50 ตารางเมตร เป็นช่วงขนาดที่ผู้ประกอบการพัฒนาออกมาในตลาดมากที่สุดประมาณ 84.2% และสามารถขายไปแล้วประมาณ 66.3% แต่พบว่าห้องชุดขนาดมากกว่า 100 ตารางเมตรขึ้นไปเหลืออุปทานในตลาดเพียงแค่ 1% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายในตลาดเท่านั้น เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่นิยมพัฒนาห้องชุดขนาดเล็ก โดยเฉพาะในพื้นที่จอมเทียนส่วนใหญ่เป็นห้องชุดขนาดใหญ่ ส่งผลให้โครงการคอนโดฯ ที่มีขนาดห้องพักมากกว่า 100 ตารางเมตร เหลือขายอยู่ในตลาดเพียงแค่ประมาณ 610 ยูนิตเท่านั้น และเป็นช่วงขนาดที่มีอัตราการขายที่สูงที่สุด เนื่องจากเป็นขนาดห้องพักที่ตอบโจทย์ในเรื่องของการอยู่อาศัยที่แท้จริงของคอนโดมิเนียมตากอากาศ

ในส่วนของ “โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้” ปัจจุบันมีโครงการเปิดขายในพัทยาคือ “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา” เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ (High Rise) ที่พัฒนาไว้สำหรับรองรับกลุ่มกำลังซื้อ เพื่อเป็นบ้านหลังที่สองของครอบครัว หรือมองถึงโอกาสของการลงทุนสร้างมูลค่าในระยะยาว โดยจุดเด่นของโครงการคือตั้งอยู่นาจอมเทียน มีแนวโน้มการเติบโตในอนาคต เพราะเป็นทำเลที่เมืองพัทยาผลักดันให้เป็นพื้นที่ตลาดไฮเอนด์ อีกทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นทำให้การเดินทางที่สะดวก ด้วยเส้นทางหลวงพิเศษตัดใหม่เลี่ยงเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 ส่วนต่อขยายช่วงพัทยา-มาบตาพุด ทางลงอยู่บริเวณด้านหน้าโครงการ ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว

โครงการ “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา” เป็นคอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์ (High Rise) สไตล์โมเดิร์น สูง 37 ชั้น จำนวน 268 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 120 ไร่ เน้นการออกแบบโดยมอบความเป็นส่วนตัว และความสบายสูงสุดด้วยห้องแบบ Over-Size Unit หรือ ห้องขนาดใหญ่พิเศษ โดดเด่นด้วยตัวอาคารที่มีความโอ่อ่าเรียบหรูชวนหลงใหลแบบ V-Shape เปิดมุมมอง 180 องศา ของวิวทะเลและท่าจอดเรือยอช์ตหรูระดับเวิลด์คลาสขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แลนด์มาร์คสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองพัทยา เติมเต็มการพักผ่อนอย่างเหนือระดับกับ “Luxury Marinafront Living” รูปแบบการใช้ชีวิตสุนทรีย์ในวันพักผ่อนแนวใหม่สำหรับคนในครอบครัว

ทั้งนี้รูปแบบฮอลิเดย์โฮมสุดหรู 2 แบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน 80 ตร.ม. เริ่มต้น 7.5 ล้านบาท และพิเศษกับห้องตัวอย่างใหม่ ขนาด 2 ห้องนอน 130 ตร.ม. พร้อมตกแต่งฟรีทั้งห้องเหมือนห้องตัวอย่าง พร้อมเข้าอยู่ได้ทันที ในราคาเพียง 14.9 ล้านบาท พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อรองรับทุกความต้องการสำหรับคนในครอบครัว อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องอบไอน้ำ ล็อบบี้โอ่โถ่ง ที่จอดรถกว้างขวาง พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย และประตูทางเข้าระบบคีย์การ์ด อีกทั้งอุ่นใจด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง

 

นอกจากนี้ พื้นที่ส่วนกลางและโดยรอบโครงการยังมีพื้นที่กรีนสเปซ (Green Space) ขนาดพื้นที่กว่า 100 ไร่ สไตล์ทรอปิคอล การ์เด้น บรรยากาศเงียบสงบ และความร่มรื่นแบบธรรมชาติที่ทุกคนที่พักอาศัยสามารถสัมผัสได้ เหมาะอย่างมากสำหรับเป็นวันพักผ่อนสำหรับทุกคนในครอบครัว

“จากปัจจัยต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ของโลกที่ไม่แน่นอน ทำให้เทรนด์การมีบ้านหลังที่สองจะกลายเป็น New Normal หรือความปกติใหม่ของการปรับตัวของผู้คนในยุคปัจจุบัน ยุคที่ทุกคนต้องเจอกับความเสี่ยงที่มีมากขึ้น และผมเชื่อว่าจะกลายเป็นเทรนด์ที่เติบโตขึ้นในตลาดอสังหาฯ นับจากนี้ไปอีกด้วย” นายณพงศ์ กล่าวในที่สุด